• ตอบกระทู้
  • ตั้งกระทู้ใหม่
QUOTE 

โรคตาที่น่าสนใจ

เจ้าของร้าน

โรคทางตาที่น่าสนใจทางร้าน youoptic ของเรา นำมาอธิบาย ให้ ลูกค้า และ ผู้คนหลายคนที่ เข้ามาสอบถามปัญหาทางตาได้รับความรู้นะครับ

1.โรคตาบอดสี

ตาบอดสีเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ sex linked ทำให้พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 10 ต่อ1ส่วนใหญ่จะบอดสี แดง-เขียว พบรองลงมาได้แก่ น้ำเงิน-เหลือง คนที่บอดสี แดง-เขียวมักจะบอดสี น้ำเงิน-เหลืองด้วย

อาการของโรค และ การจะรักษา

ในรายที่เป็นไม่รุนแรงอาจจะไม่มีอาการ ในรายที่เป็นรุนแรงผู้ปกครองอาจจะสังเกตพบตอนเป็นเด็ก ยังไม่มีการรักษาเฉพาะเป็นแล้วจะเป็นตลอดชีวิต บางประเทศอาจจะมีข้อห้ามในการเป็นนักบิน

2.โรคต้อหิน

หลายคนคุ้นเคยกับคำว่าต้อกระจกมากกว่าต้อหิน ต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์ตาเราขุ่นมัวเหมือนกระจกฝ้าทำให้เห็นไม่ชัด ส่วนต้อหินไม่ได้หมายความว่าเลนส์ตาเราจะแข็งเหมือนหิน แต่หมายถึงการเสื่อมของประสาทตาจากความดันในตาซึ่งสูงขึ้น หรือบางคนความดันตาก็ไม่ได้สูง

การทำงานของตา

การที่จะเข้าใจโรคต้อหินจะต้องเข้าใจถึงโครงสร้างของตา ตาของเรามีลักษณะกลม มีเปลือกตาขาว (sclera ) หุ้ม

อยู่ภายนอก ส่วนหน้าของลูกตาซึ่งเป็นส่วนที่เรามองเห็น จะมีเยื่อบางๆหุ้มอยู่เรียกเยื่อนี้ว่า conjunctiva ถัดจากนั้นเป็นชั้นที่เรียกว่า กระจกตา (cornea) เป็นทางให้แสงผ่านชั้นนี้หากขุ่นมัวเราสามารถผ่าตัดเปลี่ยนได้ ถัดจากนั้นก็จะเป็นรูม่านตา pupil ซึ่งจะปรับปริมาณแสงที่ผ่านถ้าสว่างมากรูม่านตาก็จะเล็ก หากมือรูม่านตาก็จะกว้างเพื่อให้แสงผ่านเข้าตามากขึ้น แสงจะผ่านไปเลนส์ lens และไปที่จอรับภาพ retina ในตาจะมีน้ำเลี้ยงเรียก aqueous humor ซึ่งเหล่าเลี้ยงเลนส์ กระจกตา และจะถูกดูดซึมตามท่อข้าง iris muscle ทำให้มีความสมดุลของน้ำในตา

น้ำตาและน้ำเลี้ยงตาเหมือนกันหรือไม่

น้ำตาเป็นน้ำที่สร้างจากต่อมน้ำตาและหล่อเลี้ยงภายนอก ส่วนน้ำเลี้ยงตาจะอยู่ในลูกตาไม่ออกสู่ภายนอก น้ำเลี้ยงตาจะหล่อเลี้ยง กระจกตา เลนส์และม่านตา

ต้อหินคืออะไร

ต้อหินเป็นภาวะที่เกิดจากความดันในลูกตาสูงขึ้นและมีการเสื่อมของประสาทต าและสูญเสียการมองเห็น ความดันในตาที่สูงจะกดดันเส้นประสาทตา (optic nerve)ให้เสื่อม ความดันสูงเป็นเวลานานประสาทตาก็จะเสื่อมทำให้สูญเสียการมองเห็น การสูญเสียการมองเห็นจะเริ่มที่ขอบนอกของลานสายตา ส่วนตรงกลางภาพยังเห็นชัด หากไม่ได้รักษาการมองเห็นจะจะได้ภาพเล็กลง การเปลี่ยนแปลงจะค่อยๆเป็นโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว โดยมากมักจะเป็นสองข้าง อาจจะเป็นข้างใดข้างหนึ่งก่อน

 

การมองเห็นของคนปกติ

การมองเห็นของคนเป็นต้อหิน

การดำเนินของต้อหิน

  • ต้อหินชนิดเรื้อรังโดยทั่วไปไม่มีอาการรุนแรง เพียงแค่สายตาค่อยๆมัวลงอย่างช้าๆ มีลานสายตาแคบลงผู้ป่วยจะมองเห็นแคบลงๆ ซึ่งผู้ป่วยอาจใช้กลอกตาหรือหันหน้าช่วย จึงทำให้ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีความผิดปกติของสายตาเกิดขึ้นแล้ว
  • ขั้นสุดท้าย ตาบอดมองไม่เห็นแล้ว ยังมีอาการเจ็บปวด เคืองตา ยังความทรมานแก่ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก

3. โรคต้อกระจก

เมื่อคนเริ่มจะสูงอายุก็จะเริ่มเกิดการเสื่อมขึ้นตามอวัยวะต่าง เช่นข้อเสื่อม หากเกิดที่สมองก็เกิดสมองเสื่อม เกิดที่หูก็หูตึง เกิดที่ระบบสืบพันธ์ก็เกิดกามตายด้าน หากเกิดที่ตาโดยเฉพาะเลนส์แก้วตาเรียกต้อกระจก

โรคต้อกระจก

แก้วตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่หลังม่านตา ทำหน้าที่ร่วมกับ กระจกตา ในการหักเหแสงุให้ตกโฟกัสที่จอประสาทตา จึงทำให้เกิดการมองเห็น

ต้อกระจกหรือที่เรียกว่า Cataract เกิดจากเลนส์แก้วตาเสื่อม ทำให้เลนส์แก้วตาขุ่นมัวทำให้มองไม่ชัด อ่านหนังสือไม่ชัด แก้วตาที่ขุ่นลงนี้ ส่งผลให้กำลังหักเหของแสงผิดไป ตลอดจนขัดขวางไม่ให้แสงเข้าตา ผู้นั้นจึงมองภาพเห็นภาพไม่ชัด นั่นคือโรคที่เรียกกันว่า “ต้อกระจก”

เลนส์ตาใส

เลนส์ตาขุ่น

อาการของต้อกระจก

อาการและอาการแสดงของต้อกระจกมีดังนี้

  • มองไม่ชัดเป็นอาการเด่นของต้อกระจกคือ ตาค่อยๆมัวลงอย่างช้าๆ โดยไม่มีอาการอื่น อาการตามัวจะเป็นมาขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีแสงสว่างจ้า เช่น เมื่อออกแดด แต่กลับมองเห็นเกือบเป็นปกติในที่มืดสลัวๆ หรือเวลาพลบค่ำ
  • เห็นภาพซ้อนแม้ว่าจะมองด้วยตาข้างเดียวเนื่องจากการหักเหของแสงไม่ลงที่จอประสาท
  • เห็นวงรอบแสงไฟ
  • อ่านหนังสือต้องใช้แสงจ้าๆ
  • ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย
  • เห็นฝ้าขาวบริเวณกลางรูม่านตาในผู้ที่ต้อกระจกสุกเต็มที่แล้ว

การมองเห็นของตาปกติ

การมองเห็นของคนตาเป็นต้อกระจก

สาเหตุ

การมองเห็นของคนปกติ

การมองเห็นของคนที่เป็นต้อกระจก แสงผ่านเข้าจอรับภาพน้อย

แสงจะผ่านจากภายนอกเข้าสู่เลนส์กระจกตา ม่านตาและเลนส์ตา เลนส์ตาทำหน้าที่ปรับให้แสงตกที่จอรับภาพทำให้ภาพชัด คนที่เป็นต้อกระจกเลนส์ตาจะขุ่นมัว ทำให้แสงไม่สามารถผ่านไปยังจอรับภาพได้อย่างสะดวกทำให้ภาพไม่ชัด

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ อายุพบว่าผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปีจะมีต้อกระจกอยู่แล้วบางส่วน มักพบแก้วตาขุ่นเล็กๆน้อยๆ หรือเป็นต้อกระจกระยะต้นๆ อาจพบจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่จากวัยสูงอายุ เช่น

  • โรคเบาหวาน
  • ประวัติครอบครัวเป็นต้อกระจก
  • เคยได้รับอุบัติเหตุที่ตา
  • การใช้ยาบางชนิดเช่น steroid
  • ติดสุรา
  • เจอแสงแดดมาก
  • ต้องสัมผัสรังสีปริมาณมาก
  • สูบบุหรี่
  • เด็กที่ขาดอาหาร
  • เลนส์ตาได้รับการกระทบกระเทืนอย่างแรง เช่นถูกกระแทก
  • การใช้ยา steroid เพื่อรักษาโรค

การคัดกรอง

  • อายุ 40-65 ปีให้ตรวจตาทุก 2-4 ปี
  • อายุมากกว่า 65 ปี ให้ตรวจทุก 1-2 ปี
  • ตรวจตาเมื่อมีอาการเปลี่ยนแปลง

การรักษา

การรักษาขึ้นกับสภาพของต้อกระจกกล่าวคือ

  • ต้อที่เพิ่งจะเริ่มเป็นและเป็นไม่มาก ต้องรอให้ต้อสุกเสียก่อน ระหว่างนี้ก็ให้ตรวจตาตามแพทย์นัด
  • ต้อที่แก่หรือสุกก็ผ่าตัดซึ่งไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หากเตรียมตัวพร้อมก็ผ่าตัด
  • ต้ที่สุกและเริ่มมีโรคแทรกซ้อนให้ทำการผ่าตัด

การรักษาต้อกระจกทำได้โดยการผ่าตัดเอาเลนส์ที่ขุ่นมัวออก วิธีการผ่าตัดทำได้ 2 วิธี

  • Phacoemulsification เป็นวิธีที่นิยมทีสุดโดยการเจาะรูเล็กๆแล้วใช้เครื่อง ultrasound สลายเลนส์และดูดออก
  • Extracapsular โดยการผ่าตัดเป็นแผลเล็กๆแล้วเอาเลนส์ที่เสียออก

หลังจากเอาเลนส์ออกแล้วแพทย์ก็จะใส่แก้วตาเทียมเข้าแทนที่อันเดิม หลังผ่าตัดอาจจะมีอาการระคายเคืองตา อาจจะต้องใส่เครื่องป้องกันการขยี้ตา 1-2 วัน หลังผ่าตัก 1 วันก็จะเห็นชัดขึ้นแต่จะชัดที่สุดคือหลังผ่า 4 สัปดาห์และมีความจำเป็นต้องสวมแว่นตา หลังผ่าตัดหากมีอาการเหล่านี้ให้พบแพทย์

  • ตามองไม่เห็น
  • ปวดตาตลอด
  • ตาแดงมากขึ้น
  • เห็นแสงแปล็บๆ
  • คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะและไอ

การป้องกัน

  • งดสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์

 

4.โรคตาแดง

 

โรคตาแดงเป็นโรคตาที่พบได้บ่อย เป็นการอักเสบของเยื่อบุตา (conjuntiva)ที่คลุมหนังตาบนและล่างรวมเยื่อบุตาที่คลุมตาขาว โรคตาแดงอาจจะเป็นแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง สาเหตุอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีบ ไวรัส Chlamydia trachomatis ภูมิแพ้ หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อตา สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส มักจะติดต่อทางมือ ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวโดยมากใช้เวลาหาย 2 สัปดาห์ ตาแดงจากโรคภูมิแพ้มักจะเป็นตาแดงเรื้อรัง มีการอักเสบของหนังตา ตาแห้ง การใช้contact lens หรือน้ำยาล้างตาก็เป็นสาเหตุของตาแดงเรื้อรัง

อาการของโรคตาแดง

แพทย์จะถามถึงยาที่ท่านรับประทาน ยาหยอดตา เลนส์ น้ำยาล้างตา รยะเวลาที่เป็น อาการที่สำคัญคือ

  1. คันตา เป็นอาการที่สำคัญของผู้ป่วยตาแดงที่เกิดจากภูมิแพ้ อาการคันอาจจะเป็นมากหรือน้อย คนที่เป็นโรคตาแดงโดยที่ไม่มีอาการคันไม่ใช่เกิดจากโรคภูมิแพ้ นอกจากนั้นอาจจะมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวเช่นหอบหืด ผื่นแพ้
  2. ขี้ตา ลักษณะของขี้ตาก็ช่วยบอกสาเหตุของโรคตาแดง
  • ขี้ตาใสเหมือนน้ำตามักจะเกิดจากไวรัสหรือโรคภูมิแพ้
  • ขี้ตาเป็นเมือกขาวมักจะเกิดจากภูมิแพ้หรือตาแห้ง
  • ขี้ตาเป็นหนองมักจะร่วมกับมีสะเก็ดปิดตาตอนเช้าทำให้เปิดตาลำบากสาเหตุมักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
  1. ตาแดงเป็นข้างหนึ่งหรือสองข้าง
  • เป็นพร้อมกันสองข้างโดยมากมักจะเกิดจากภูมิแพ้
  • เป็นข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยเป็นสองข้าง สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อเช่นแบคทีเรีย ไวรัส หรือ Chlamydia
  • ผู้ที่มีโรคตาแดงข้างเดียวแบบเรื้อรัง ชนิดนี้ต้องส่งปรึกาแพทย์
  1. อาการปวดตาหรือมองแสงจ้าไม่ได้ มักจะเกิดจากโรคชนิดอื่นเช่นต้อหิน ม่านตาอักเสบเป็นต้น ดังนั้นหากมีตาแดงร่วมกับปวดตาหรือมองแสงไม่ได้ต้องรีบพบแพทย์
  2. ตามัว แม้ว่ากระพริบตาแล้วก็ยังมัวอยู่ โรคตาแดงมักจะเห็นปกติหากมีอาการตามัวร่วมกับตาแดงต้องปรึกษาแพทย์
  3. ประวัติอื่น การเป็นหวัด การใช้ยาหยอดตา น้ำตาเทียม เครื่องสำอาง โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ประจำ

การตรวจร่างกาย

  • คุณลองคลำต่อมน้ำเหลืองรอบหู หากคลำได้อาจจะเป็นโรคติดเชื้อไวรัส หรือจากสัมผัสสารระคายเคือง ส่วนเชื้อแบคทีเรียมักจะคลำไม่ได้ต่อมน้ำเหลือง
  • ในรายที่เป็นไม่มากไม่ต้องตรวจอะไรเพิ่มเติม
  • ในรายที่เป็นรุนแรง เป็นๆหายๆ หรือเป็นเรื้อรังควรจะต้องตรวจเพาะเชื้อจากขี้ตา
  • การนำขี้ตามาย้อมหาตัวเชื้อก็พอจะบอกสาเหตุของโรคตาแดง

การป้องกันโรคตาแดง

  • อย่าใช้เครื่องสำอางร่วมกับคนอื่น
  • อย่าใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน
  • ล้างมือบ่อยๆ อย่าเอามือเข้าตา
  • ใส่แว่นตากันถ้าต้องเจอสารเคมี
  • อย่าใช้ยาหยอดตาของผู้อื่น
  • อย่าว่ายน้ำในสระที่ไม่ได้ใส่คลอรีน
  • ยาเมื่อไม่ได้ใช้ให้ทิ้ง
  • อย่าสัมผัสมือ
  • เช็ดลูกบิดด้วยน้ำสบู่เพื่อฆ่าเชื้อโรค

การรักษาตาแดงด้วยตัวเอง

  • ประคบเย็นวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ10-15 นาที
  • ล้างมือบ่อยๆ
  • อย่าขยี้ตาเพราะจะทำให้ตาระคายมากขึ้น
  • ใส่แว่นกันแดด หากมองแสงสว่างไม่ได้
  • อย่าใส่ contact lens ช่วยที่มีตาแดง
  • เปลี่ยนปลอกหมอนทุกวัน เปลี่ยนหมอนทุก 2 วัน

หากมีอาการต่อไปนี้ให้รีบพบแพทย์

  • ตามัวลง
  • ปวดตามากขึ้น
  • กรอกตาแล้วปวด
  • ไข้
  • ให้ยาไปแล้ว 48 ชั่วโมงไม่ดีขึ้น
  • น้ำตายังไหลอยู่แม้ว่าจะได้ยาครบแล้ว
  • แพ้แสงอย่างมาก

การหยอดยาหยอดตา

  1. ล้างมือก่อนหยอดตาทุกครั้ง
  2. ดึงหนังตาล่างลง
  3. ตาเหลือกมองเพดาน
  4. หยอดตาตรงกลางเปลือกตาล่าง
  5. ปิดตาและกรอกตาไปมาเพื่อให้ยากระจาย การหยอดครีมให้หยอดจากหัวตาบีบไปปลายตา ปิดตาและกรอกตาไปมา
  6. เช็ดยาที่ล้นออกมา
  7. ล้างมือหลังหยอดเสร็จ

 

 

 

5. โรคตาแห้ง

น้ำตาของคนเรามี 3 ชั้น ชั้นในสุดที่ติดกับแก้วตาจะเป็นเมือก ชั้นกลางเป็นน้ำ เป็นตัวให้อาหารและออกซิเจนหล่อเลี้ยงแก้วตา ส่วนชั้นนอกเป็นไขมันป้องกันการระเหยของน้ำตา น้ำตาของคนสร้างต่อมน้ำตาของหนังตาบน เวลาเรากระพริบตา น้ำตาจะถูกขับออกมาเคลือบตา น้ำตาที่หลั่งออกมาจากการกระพริบตาออกครั้งละไม่มาก น้ำตาไหลจากเสียใจหรือเกิดจากการระคายเคืองจะออกเป็นปริมาณมาก

สาเหตุของตาแห้ง

  • เป็นธรรมชาติของคนสูงอายุที่มีการขับน้ำตาออกมาน้อยโดยเฉพาะผู้หญิงจะพบได้บ่อยกว่าผู้ชาย
  • สภาพอากาศ ร้อน อากาศแห้ง ลมแรง
  • ลมจากเครื่องปรับอากาศ ควันบุหรี่
  • หารอ่านหนังสือหรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน แนะนำให้หยุดพักตาและกระพริบตาบ่อยๆ
  • การใส่ contact lens
  • การขาดวิตามิน เอ

อาการของโรคตาแห้ง

  • เคืองตา
  • แสบตา
  • ตาแดง
  • ตามัว เมื่อกระพริบตามองเห็นชัดขึ้น
  • น้ำตาไหลมาก
  • เคืองตาหลังจากใช้งานเป็นเวลานาน

การรักษา

  • การใช้น้ำตาเทียมเป็นการลดอาการเท่านั้น
  • ปิดท่อระบายน้ำตา ทำให้มีน้ำตาหล่อเลี้ยงตาเพิ่มขึ้น
  • ให้ดื่มน้ำมากๆ เวลาอ่านหนังสือหรือทำงานกับคอมพิวเตอร์นานให้กระพริบตาบ่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา

ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก http://www.siamhealth.net/public_html/index0/eyeindex.htm#.VGg_YXk9LIU

 

 

 

 

 

 

 

แสดงความคิดเห็นที่ 0-0 จากทั้งหมด 0 ความคิดเห็น

MEMBER

STATISTICS

หน้าที่เข้าชม1,178,487 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด645,667 ครั้ง
เปิดร้าน30 มี.ค. 2557
ร้านค้าอัพเดท16 ก.ย. 2568

CONTACT US

098-263-5815
พูดคุย-สอบถาม